วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

โลกในอุดมคติ

หิ่งห้อยด้อยแสง
หากจักรวาลของเราเปรียบเสมือนผืนดินผืนหนึ่ง จักรวาลก็คงจะเป็นผืนดินที่กินอาณาเขตกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา กว้างเกินจะวัด ไกลเกินจะไปสุดขอบ และความยิ่งใหญ่ของจักรวาลนี้เองที่เป็นสิ่งเตือนใจมนุษย์อย่างเราๆ ทุกคนว่า มนุษย์ที่คิดว่าตัวเองเก่งกาจที่สุด มนุษย์ที่หลงระเริงไปกับกิเลสและตัณหา มนุษย์ที่หลงละเมอคิดว่าตัวเองใหญ่คับฟ้า แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงหิ่งห้อยตัวเล็กๆ ในดินแดนกว้างใหญ่ที่ยังคงมืดมิด และเพราะความที่มนุษย์ต่างพากันยกตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งนี้เองที่เป็นสาเหตุที่แท้ของเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นบนดาวเคราะห์ใบเล็กๆ ที่มนุษย์เรียกว่า ‘โลก’
มนุษย์เรียกตัวเองว่า’มนุษย์’ ยกตัวเองเป็นสัตว์ประเสริฐ และประพฤติตนราวกับเป็นเจ้านายใหญ่แห่งจักรวาล กำหนดระดับชั้นและคุณค่าของชีวิตอื่นๆ และสิ่งต่างๆ ตั้งกฎเกณฑ์ บัญญัติกฏหมาย เขียนบทลงโทษ และคอยตัดสิน ทั้งที่ที่จริง สิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์นั้นก็ยังไม่รู้เลยว่า อะไรกันแน่ที่เรียกว่าถูกต้อง อะไรกันแน่ที่เรียกว่าดีงาม ทุกๆ คนชอบพูดว่าชอบอย่างนั้น ไม่ชอบอย่างนี้ แบบนั้นดี แบบนี้เลว และด้วยความเบาปัญญาเช่นนี้นี่เองที่เป็นเหตุให้ความทุกข์ให้บังเกิดขึ้น
โลกเราที่ไร้ซึ่งความสงบสุขทุกวันนี้ก็เพราะเราเองโดยแท้ เพราะเราที่เป็นมนุษย์ไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้จักประเมินตนเองก่อนที่จะหันไปประเมินคนอื่นเขา มัวแต่มัวเมากับความเป็นตัวเรา ตั้งให้เราเป็นที่หนึ่ง ดีตลอด ถูกเสมอ เลิศเลอจนใครแตะต้องไม่ได้ เมื่อถึงเวลาที่ถูกทำให้ระคายอุราขึ้นมาจึงกลายร่างจากมนุษย์เป็นเดียรัจฉาน ที่ว่าเป็นเดียรัจฉานก็เพราะมนุษย์เองที่ตัดสินว่าตนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติ มีปัญญา มีความสามารถอันพิเศษเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นใด จึงสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างนี้รวมเอาตัวเองเข้าไปด้วย แต่เมื่อมนุษย์บางคนโกรธาขึ้นมาคราใด ความสามารถในการควบคุมตัวเองก็จะสิ้นไป จึงไม่ต่างอะไรกับเดียรัจฉานกระนั้น นึกอยากจะบ้าก็บ้าคลั่งจนสะท้านไปทั้งโลกา!
จากมีปากมีเสียง สู่โต้เถียง ถึงทะเลาะเบาะแว้ง ขั้นทำร้ายร่างกาย ร้ายถึงรบราฆ่าฟัน และจบลงที่สงครามนิวเคลียร์ ล้วนแล้วแต่เกิดมาจากสาเหตุเดียวกัน...ไม่พอใจ!
ไม่ว่าใครก็ต้องเคยรู้สึกหงุดหงิดเพราะถูกขัดใจ และหากจะนับเรื่องไม่ถูกใจนี้ก็คงจะนับกันไม่หวาดไม่ไหว เพราะทุกช่วงทุกตอนของชีวิต คงไม่มีใครที่จะได้ดั่งใจปรารถนาไปเสียทุกอย่าง ตั้งแต่เด็ก คุณพ่อคุณแม่ไม่ซื้อขนมของเล่นให้เราก็ลงไปดิ้นพราดๆ ร้องไห้ว่าจะเอาๆ พอโตขึ้นมามีเพื่อน เพื่อนพูดไม่เข้าหูก็โกรธเป็นฟืนไฟ อยากจะกระโดดเข้าไปชกปากให้หายแค้น ล่วงสู่วัยทำงาน เจ้านายก็ขี้บ่นเอาแต่สั่งโน่นสั่งนี่ อันนั้นดีกว่าอันนี้ใช้ไม่ได้ ก็พาลไม่สบอารมณ์นึกอยากลาออกตรงนั้นเดี๋ยวนั้น จนมาถึงวัยชราก็ยังมิวายน้อยใจลูกหลาน คิดเล็กคิดน้อยด้วยฟุ้งซ่าน หาว่าลูกไม่รักหลานไม่ใส่ใจ อยากจะตายๆ ไปเสียเต็มแก่ ไม่พอใจยมฑูตยมบาลที่ไม่ยอมมาเอาชีวิต แต่พอเอาเข้าจริงก็ร้องร่ำว่ายังไม่อยากตาย...
พระท่านเคยสอนเอาไว้ ก่อนจะเริ่มโกรธใครสักคนหรืออะไรสักอย่าง จงตั้งสติ และคิดไตร่ตรอง อย่ามัวแต่โทษเขาว่าเขาไม่ดี โทษเราสิว่าเรามีไม่ดีตรงไหนให้เขาว่าได้ มันคงต้องมีสักที่ไม่ถูกใจเขา ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ว่าเอา คำบางคำพระท่านให้ปล่อยผ่านเลย ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา บางทีคนพูดเขาไม่ได้ตั้งใจทำให้เราเคืองเราโกรธ จุดประสงค์จะให้เราขำ แต่เราดันจำฝังใจเก็บไปเคียดแค้น คนเราทุกคนล้วนอยากจะให้ทุกสิ่งถูกใจตัวเอง จึงลืมนึกไปว่าบางสิ่งที่ถูกใจเราบางครั้งก็ไปขัดใจคนอื่นเขา เรามัวนึกต่างๆ นานาว่าทำไมโน่นไม่เป็นอย่างโน้นนะ นี่ไม่เป็นอย่างนี้นะ ทำไมคนนั้นถึงได้ทำแบบโน้น คนนี้ถึงได้ทำแบบนี้ พาลโกรธพาลเคืองเขาไปทั่ว ไม่พอใจอะไรก็ฮึดฮัดเคืองขุ่น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเราลืมนึกไปว่า เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา เราอยากพอใจกับทุกสิ่ง เขาก็ต้องอยากเหมือนกัน หัดเอาใจเขามาใส่ใจเรา หากใส่ลำบากใส่ไม่เข้าก็ต้องทนยัดๆ เข้าไป ทั้งหมดทั้งปวงก็เพื่อตัวเราเองทั้งสิ้น ในเมื่อรู้เหตุแห่งทุกข์ และทางดับทุกข์ก็ปูรออยู่ตรงหน้า คงไม่ลำบากเกินไปนักที่เราจะก้าวเท้าเข้าไป
โลกเราจะสงบลงมาก หากว่ามนุษย์ยอมรับฟังกันและเลิกเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของโลกเสียที ลองตรองดูเถิด สมมติว่าโลกมีจุดศูนย์กลางหลายจุด แกนโลกหลายแกน ล้วนแล้วแต่หมุนไปกันคนละทิศทาง นึกอยากจะหมุนทางซ้าย คิดอยากจะหมุนทางขวา หรืออยากจะหมุนกลับหน้า พออีกทีก็หมุนกลับหลัง แล้วยังมีพวกพิเรนทร์ที่คิดหมุนเฉียงเองทำองศากันอีก โลกคงจะสับสนวุ่นวายน่าดู และคงจะแตกสลายลงในเร็ววันเป็นแน่แท้ ฉะนั้นหากเราอยากให้โลกเหนื่อย ไม่อยากให้โลกล้า ไม่อยากให้โลกมรณา ก็จงทำตนเป็นหิ่งห้อยที่น่ารักต่อโลก เปล่งแสงเพียงแต่น้อย ไม่ต้องกลัวว่าโลกจะมืดหม่นมัวหมอง เพราะแต่ละแสงน้อยๆ เมื่อมาผนวกเข้าด้วยกันแล้วก็ไม่ต่างอะไรไปกับแสงจากพระอาทิตย์ที่จะสามารถช่วยให้โลกสว่างไสวสุกสวยได้ เพื่อทิ่หิ่งห้อยอย่างเราๆ จะได้มีโลกให้อาศัยและเปล่งแสงได้ตราบนานเท่านาน
ชีวิตนี้คนพุทธรู้ดีว่ามาจุติเพื่อใช้หนี้กรรม ชาติปางก่อนทำอะไรเอาไว้ ชาตินี้ก็ต้องกลับมารับผล บางคนไม่รู้หรือรู้ก็แกล้งไม่สน หลอกตัวเองว่าบาปไม่มีจริง บุญจะทำไปเพื่ออะไร เขาคงไม่รู้ ที่เขายังมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะกรรมเก่า กรรมคือการกระทำทั้งบาปบุญรวมอยู่ด้วยกัน ถ้าไม่มีกรรมเขาคงนิพพาน ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อที่จะมานั่งปิดหูปิดตาแถมยังปิดใจอยู่แบบนี้ ชีวิตทุกชีวิตที่ยังคงวนเวียนเป็นวัฏจักรที่ไม่จบสิ้น เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอยู่เช่นนี้ก็เพราะ ตัดไม่ได้ซึ่งกิเลส ละไม่ได้ซึ่งทางโลก และบรรลุไม่ได้ถึงสัจจธรรม หากว่าทุกชีวิตเข้าใจคำกล่าวที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างถ่องแท้แล้วล่ะก็ โลกใบนี้ก็คงจะไม่เหลือซึ่งสิ่งอื่นใดนอกจากดวงจิตที่เข้าถึงนิพพาน ทว่ามันยากเหลือเกินที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นหากเราไม่เริ่มต้นจากวินาทีนี้ ชีวิตคืออะไร เกิดขึ้นเพื่ออะไร ดำรงอยู่ด้วยเหตุผลใด แล้วเมื่อหลับสนิทลงอีกครั้งล่ะ ยังมีหนทางให้ต้องก้าวเดินต่อไปอีกหรือไม่ แล้วถ้ามี...สุดท้ายแล้วจุดสิ้นสุดคือที่ไหน จุดหมายปลายทางที่แท้อยู่ที่แห่งหนใด...ธรรมะเท่านั้นที่ต้องคำถามเหล่านี้ได้
ท่านมีความคิดเห็นเป็นอย่างไร?

ไม่มีความคิดเห็น: