วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

Lucky Week

ขอแจ้งให้ทราบว่า ใครอยากได้ข้อมูลในวิชาใดที่เรียนให้แจ้งความประสงค์ใน blog นี้ครับ
แล้วผมจะส่งไปให้ อ้อ อย่าลืมแจ้งอีเมล์ด้วยครับ
ขอให้โชคดีในการสอบ Final ทุุกท่านน่ะครับ.......
ภูมิณรงค์ ภูดิศชินภัทร

โลกในอุดมคติ

หิ่งห้อยด้อยแสง
หากจักรวาลของเราเปรียบเสมือนผืนดินผืนหนึ่ง จักรวาลก็คงจะเป็นผืนดินที่กินอาณาเขตกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา กว้างเกินจะวัด ไกลเกินจะไปสุดขอบ และความยิ่งใหญ่ของจักรวาลนี้เองที่เป็นสิ่งเตือนใจมนุษย์อย่างเราๆ ทุกคนว่า มนุษย์ที่คิดว่าตัวเองเก่งกาจที่สุด มนุษย์ที่หลงระเริงไปกับกิเลสและตัณหา มนุษย์ที่หลงละเมอคิดว่าตัวเองใหญ่คับฟ้า แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงหิ่งห้อยตัวเล็กๆ ในดินแดนกว้างใหญ่ที่ยังคงมืดมิด และเพราะความที่มนุษย์ต่างพากันยกตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งนี้เองที่เป็นสาเหตุที่แท้ของเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นบนดาวเคราะห์ใบเล็กๆ ที่มนุษย์เรียกว่า ‘โลก’
มนุษย์เรียกตัวเองว่า’มนุษย์’ ยกตัวเองเป็นสัตว์ประเสริฐ และประพฤติตนราวกับเป็นเจ้านายใหญ่แห่งจักรวาล กำหนดระดับชั้นและคุณค่าของชีวิตอื่นๆ และสิ่งต่างๆ ตั้งกฎเกณฑ์ บัญญัติกฏหมาย เขียนบทลงโทษ และคอยตัดสิน ทั้งที่ที่จริง สิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์นั้นก็ยังไม่รู้เลยว่า อะไรกันแน่ที่เรียกว่าถูกต้อง อะไรกันแน่ที่เรียกว่าดีงาม ทุกๆ คนชอบพูดว่าชอบอย่างนั้น ไม่ชอบอย่างนี้ แบบนั้นดี แบบนี้เลว และด้วยความเบาปัญญาเช่นนี้นี่เองที่เป็นเหตุให้ความทุกข์ให้บังเกิดขึ้น
โลกเราที่ไร้ซึ่งความสงบสุขทุกวันนี้ก็เพราะเราเองโดยแท้ เพราะเราที่เป็นมนุษย์ไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้จักประเมินตนเองก่อนที่จะหันไปประเมินคนอื่นเขา มัวแต่มัวเมากับความเป็นตัวเรา ตั้งให้เราเป็นที่หนึ่ง ดีตลอด ถูกเสมอ เลิศเลอจนใครแตะต้องไม่ได้ เมื่อถึงเวลาที่ถูกทำให้ระคายอุราขึ้นมาจึงกลายร่างจากมนุษย์เป็นเดียรัจฉาน ที่ว่าเป็นเดียรัจฉานก็เพราะมนุษย์เองที่ตัดสินว่าตนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติ มีปัญญา มีความสามารถอันพิเศษเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นใด จึงสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างนี้รวมเอาตัวเองเข้าไปด้วย แต่เมื่อมนุษย์บางคนโกรธาขึ้นมาคราใด ความสามารถในการควบคุมตัวเองก็จะสิ้นไป จึงไม่ต่างอะไรกับเดียรัจฉานกระนั้น นึกอยากจะบ้าก็บ้าคลั่งจนสะท้านไปทั้งโลกา!
จากมีปากมีเสียง สู่โต้เถียง ถึงทะเลาะเบาะแว้ง ขั้นทำร้ายร่างกาย ร้ายถึงรบราฆ่าฟัน และจบลงที่สงครามนิวเคลียร์ ล้วนแล้วแต่เกิดมาจากสาเหตุเดียวกัน...ไม่พอใจ!
ไม่ว่าใครก็ต้องเคยรู้สึกหงุดหงิดเพราะถูกขัดใจ และหากจะนับเรื่องไม่ถูกใจนี้ก็คงจะนับกันไม่หวาดไม่ไหว เพราะทุกช่วงทุกตอนของชีวิต คงไม่มีใครที่จะได้ดั่งใจปรารถนาไปเสียทุกอย่าง ตั้งแต่เด็ก คุณพ่อคุณแม่ไม่ซื้อขนมของเล่นให้เราก็ลงไปดิ้นพราดๆ ร้องไห้ว่าจะเอาๆ พอโตขึ้นมามีเพื่อน เพื่อนพูดไม่เข้าหูก็โกรธเป็นฟืนไฟ อยากจะกระโดดเข้าไปชกปากให้หายแค้น ล่วงสู่วัยทำงาน เจ้านายก็ขี้บ่นเอาแต่สั่งโน่นสั่งนี่ อันนั้นดีกว่าอันนี้ใช้ไม่ได้ ก็พาลไม่สบอารมณ์นึกอยากลาออกตรงนั้นเดี๋ยวนั้น จนมาถึงวัยชราก็ยังมิวายน้อยใจลูกหลาน คิดเล็กคิดน้อยด้วยฟุ้งซ่าน หาว่าลูกไม่รักหลานไม่ใส่ใจ อยากจะตายๆ ไปเสียเต็มแก่ ไม่พอใจยมฑูตยมบาลที่ไม่ยอมมาเอาชีวิต แต่พอเอาเข้าจริงก็ร้องร่ำว่ายังไม่อยากตาย...
พระท่านเคยสอนเอาไว้ ก่อนจะเริ่มโกรธใครสักคนหรืออะไรสักอย่าง จงตั้งสติ และคิดไตร่ตรอง อย่ามัวแต่โทษเขาว่าเขาไม่ดี โทษเราสิว่าเรามีไม่ดีตรงไหนให้เขาว่าได้ มันคงต้องมีสักที่ไม่ถูกใจเขา ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ว่าเอา คำบางคำพระท่านให้ปล่อยผ่านเลย ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา บางทีคนพูดเขาไม่ได้ตั้งใจทำให้เราเคืองเราโกรธ จุดประสงค์จะให้เราขำ แต่เราดันจำฝังใจเก็บไปเคียดแค้น คนเราทุกคนล้วนอยากจะให้ทุกสิ่งถูกใจตัวเอง จึงลืมนึกไปว่าบางสิ่งที่ถูกใจเราบางครั้งก็ไปขัดใจคนอื่นเขา เรามัวนึกต่างๆ นานาว่าทำไมโน่นไม่เป็นอย่างโน้นนะ นี่ไม่เป็นอย่างนี้นะ ทำไมคนนั้นถึงได้ทำแบบโน้น คนนี้ถึงได้ทำแบบนี้ พาลโกรธพาลเคืองเขาไปทั่ว ไม่พอใจอะไรก็ฮึดฮัดเคืองขุ่น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเราลืมนึกไปว่า เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา เราอยากพอใจกับทุกสิ่ง เขาก็ต้องอยากเหมือนกัน หัดเอาใจเขามาใส่ใจเรา หากใส่ลำบากใส่ไม่เข้าก็ต้องทนยัดๆ เข้าไป ทั้งหมดทั้งปวงก็เพื่อตัวเราเองทั้งสิ้น ในเมื่อรู้เหตุแห่งทุกข์ และทางดับทุกข์ก็ปูรออยู่ตรงหน้า คงไม่ลำบากเกินไปนักที่เราจะก้าวเท้าเข้าไป
โลกเราจะสงบลงมาก หากว่ามนุษย์ยอมรับฟังกันและเลิกเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของโลกเสียที ลองตรองดูเถิด สมมติว่าโลกมีจุดศูนย์กลางหลายจุด แกนโลกหลายแกน ล้วนแล้วแต่หมุนไปกันคนละทิศทาง นึกอยากจะหมุนทางซ้าย คิดอยากจะหมุนทางขวา หรืออยากจะหมุนกลับหน้า พออีกทีก็หมุนกลับหลัง แล้วยังมีพวกพิเรนทร์ที่คิดหมุนเฉียงเองทำองศากันอีก โลกคงจะสับสนวุ่นวายน่าดู และคงจะแตกสลายลงในเร็ววันเป็นแน่แท้ ฉะนั้นหากเราอยากให้โลกเหนื่อย ไม่อยากให้โลกล้า ไม่อยากให้โลกมรณา ก็จงทำตนเป็นหิ่งห้อยที่น่ารักต่อโลก เปล่งแสงเพียงแต่น้อย ไม่ต้องกลัวว่าโลกจะมืดหม่นมัวหมอง เพราะแต่ละแสงน้อยๆ เมื่อมาผนวกเข้าด้วยกันแล้วก็ไม่ต่างอะไรไปกับแสงจากพระอาทิตย์ที่จะสามารถช่วยให้โลกสว่างไสวสุกสวยได้ เพื่อทิ่หิ่งห้อยอย่างเราๆ จะได้มีโลกให้อาศัยและเปล่งแสงได้ตราบนานเท่านาน
ชีวิตนี้คนพุทธรู้ดีว่ามาจุติเพื่อใช้หนี้กรรม ชาติปางก่อนทำอะไรเอาไว้ ชาตินี้ก็ต้องกลับมารับผล บางคนไม่รู้หรือรู้ก็แกล้งไม่สน หลอกตัวเองว่าบาปไม่มีจริง บุญจะทำไปเพื่ออะไร เขาคงไม่รู้ ที่เขายังมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะกรรมเก่า กรรมคือการกระทำทั้งบาปบุญรวมอยู่ด้วยกัน ถ้าไม่มีกรรมเขาคงนิพพาน ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อที่จะมานั่งปิดหูปิดตาแถมยังปิดใจอยู่แบบนี้ ชีวิตทุกชีวิตที่ยังคงวนเวียนเป็นวัฏจักรที่ไม่จบสิ้น เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอยู่เช่นนี้ก็เพราะ ตัดไม่ได้ซึ่งกิเลส ละไม่ได้ซึ่งทางโลก และบรรลุไม่ได้ถึงสัจจธรรม หากว่าทุกชีวิตเข้าใจคำกล่าวที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างถ่องแท้แล้วล่ะก็ โลกใบนี้ก็คงจะไม่เหลือซึ่งสิ่งอื่นใดนอกจากดวงจิตที่เข้าถึงนิพพาน ทว่ามันยากเหลือเกินที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นหากเราไม่เริ่มต้นจากวินาทีนี้ ชีวิตคืออะไร เกิดขึ้นเพื่ออะไร ดำรงอยู่ด้วยเหตุผลใด แล้วเมื่อหลับสนิทลงอีกครั้งล่ะ ยังมีหนทางให้ต้องก้าวเดินต่อไปอีกหรือไม่ แล้วถ้ามี...สุดท้ายแล้วจุดสิ้นสุดคือที่ไหน จุดหมายปลายทางที่แท้อยู่ที่แห่งหนใด...ธรรมะเท่านั้นที่ต้องคำถามเหล่านี้ได้
ท่านมีความคิดเห็นเป็นอย่างไร?

เด็กขายพวงมาลัย

ที่บริเวณสี่แยก ทันทีที่ไฟสัญญาณจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดง เด็กๆ หน้าตามอมแมมก็วิ่งกรูกันเข้ามาเคาะกระจกรถและยื่นท่อยาวที่แขวนพวงมาลัยอยู่เต็มมาใกล้ๆ บางคนสิ่งยิ้มหวานอวดฟันขาวตัดกับสีผิว หากบางคนทำตาวาวๆ คล้ายจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้ ถ้าผู้ใหญ่คนไหนใจดีก็จะอุดหนุนเด็กๆ เหล่านั้น พวกเขาไม่ทันคิดหรอกว่าเงินเพียงสิบยี่สิบบาทที่พวกเขาเห็นว่าน้อยนิดนั้นจะมีค่ามากมายแค่ไหนเมื่อไปอยู่ในมือของเด็กๆ ที่ซึ่งฉีกยิ้มกว้างพลางยกมือขึ้นไหว้ท่วมศีรษะด้วยความขอบคุณ
ในขณะที่เด็กคนอื่นๆ ยังคงหลับใหลและเดินทางไปในห้วงแห่งความฝัน ยังมีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องตื่นขึ้นทั้งที่ยังนอนได้ไม่เต็มอิ่ม แม้ผืนฟ้าจะยังคงมืดมิด หากแสงจากหลอดไฟดวงน้อยก็สว่างมากพอที่จะช่วยให้เด็กๆ เหล่านั้นไม่ร้อยเข็มตำนิ้วมือตัวเอง มาลัยดอกไม้หอมฟุ้งพวงแล้วพวงเล่าที่ถูกกรองขึ้นพร้อมๆ กับอาการง่วงหงาวหาวนอน จนเมื่อได้ปริมาณมากพอเด็กๆ เหล่านั้นก็จะนำพวงมาลัยมาแขวนไว้ที่ท่อหรือไม้ยาวเพื่อที่จะนำไปขายที่ท้องถนนยามเช้า พวกเขาจะมีความสุขมากที่สุดถ้าหากว่าพวงมาลัยนับยี่สิบพวงที่พวกเขาถือออกมาขายตั้งแต่เช้าตรู่ขายได้หมดอย่างรวดเร็ว เพราะนั่นหมายถึงว่าพวกเขาจะได้รีบไปโรงเรียนพูดคุยและเล่นสนุกกับเพื่อนๆ ไม่ต้องยืนแบกราวพวงมาลัยที่หนักแสนหนัก ตากแดดที่นับวันก็ยิ่งร้อนแรงขึ้นทุกทีๆ รอคอยว่าเมื่อไหร่จะมีคนใจดีเหมาพวงมาลัยในมือเล็กๆ นี้ไป
ตกเย็น ทั้งที่อยากจะอยู่เล่นกับเพื่อนๆ ใจจะขาดหากเด็กๆ เหล่านี้ก็จำต้องตัดใจ รีบวิ่งกลับบ้านเพื่อมาเอาพวงมาลัยไปขายต่อ ถ้าวันไหนเหนื่อยน้อยก็จะมีแรงทำการบ้านที่คุณครูสั่งต่อจนเสร็จ แต่หากวันไหนเหนื่อยมากก็ต้องยอมถูกคุณครูทำโทษในวันต่อมา
ผู้คนที่สุขสบายอยู่บนกองเงินกองทองกับเครื่องปรับอากาศที่ให้ลมเย็นฉ่ำและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาจมองเด็กๆ ที่สวมเสื้อผ้าสกปรกและเร่ขายพวงมาลัยตามสี่แยกไฟแดงว่าเป็นปัญหาสังคมที่รัฐบาลควรจัดการ ที่เป็นเช่นนั้นก็เป็นเพราะคนเหล่านั้นมองเด็กๆ ที่ขายพวงมาลัยเพียงแค่ด้านเดียว มองและคิดทั้งๆ ที่ตัวเองสร้างกำแพงแน่นหนาที่เรียกว่า’อคติ’ขึ้นมา แต่ถ้าเพียงว่าพวกเขาจะทำลายกำแพงนั้นลงและไตร่ตรองเสียใหม่ ก็จะพบว่าเด็กๆ เหล่านั้นแค่กำลังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะช่วยให้ครอบครัวของตนมีกินมีใช้ กำลังแสดงความกตัญญูในอีกรูปแบบที่คนทั่วไปไม่ได้ทำเท่านั้นเอง และที่สำคัญเด็กๆ เหล่านี้ไม่ได้ทำอะไรผิด การขายพวงมาลัยเป็นอาชีพที่สุจริตทั้งยังไม่ทำลายสภาพแวดล้อม แม้พวกเขาเลือกที่จะเกิดมาร่ำรวยทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์เหมือนอย่างเด็กคนอื่นๆ ไม่ได้ แต่พวกเขาก็ดิ้นรนเพื่อที่จะได้มาซึ่งชีวิตที่ดีขึ้นโดยที่ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้กับใคร
หลายคนอาจเห็นใจและนึกสงสารเด็กๆ เหล่านี้ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว เด็กๆ เหล่านี้อาจไม่ต้องการให้ใครมาเห็นอกเห็นใจ พวกเขาแค่ต้องการความเข้าใจเพียงเท่านั้น การที่เป็นเด็กขายพวงมาลัยอาจจะทำให้พลาดโอกาสที่จะได้เล่นสนุกเหมือนอย่างเด็กทั่วๆ ไป หรือไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายตามประสาผู้คนที่มีฐานะและเพรียบพร้อม แต่พวกเขาก็ได้หัวเราะกับเพื่อนๆ ที่ขายพวงมาลัยด้วยกัน ได้วิ่งเล่นไปตามทางเท้าและตามพื้นถนนยามที่รถติดไฟแดง ได้ชุ่มฉ่ำกับสายฝนยามที่เมฆหมอกกลั่นตัวลงมา ได้รู้จักค่าของเงินแต่ละบาท ข้าวแต่ละมื้อ และเวลาแต่ละวินาที
หลายคนอาจคิดว่าสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนอุปสรรคบนเส้นทางชีวิตที่พวกเขาต้องฝ่าฟัน แต่พวกเขาอาจมองในแง่กลับกันคือยกประสบการณ์เหล่านั้นให้เป็นกำไรชีวิต ที่ซึ่งจะเป็นเครื่องช่วยให้พวกเขาเติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจและยอมรับในความเป็นไปของสิ่งต่างๆ และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข
มันเป็นประจำตรงสี่แยกนี้ ที่รถมันติดเหลือเกิน แต่ใครๆ ก็คงต้องผ่าน
บังเอิญวันนั้นได้เหลือบไปเห็น แววตาของเด็กน้อยนั่งมองเหมื่อ อยู่ริมข้างฟุตบาท
เลยสะกิดใจ ค่อนข้างห่วงเขาเป็นอะไร จึงได้ทักไป
ให้ช่วยไหม ได้ฟังเขาตอบ น่าแปลกใจ
ก็อยากให้ไฟแดงนานกว่านี้หน่อย
เผื่อว่าจะได้ขายมาลัยให้หมด
ถ้าหากว่าวันนี้มีไฟเขียวบ่อย ก็คงขาดทุน
ไม่มีใครอยากซื้อมะลิบานๆ
และทุกวันนี้ต้องผ่านทางนั้น ที่รถมันติดเหลือเกิน แต่ตัวฉันไม่เคยจะเบื่อ
เพราะฉันนึกถึงคำตอบเด็กน้อย ที่คอยเตือนใจฉันให้รู้สึก ให้นึกถึงคนอื่น
ลองเอาใจเขา เข้ามาใส่หัวใจสักที โลกในแง่ดี
มีความหมาย ให้ฉันได้เปลี่ยน เปลี่ยนความคิด
เพลง : ก่อนมะลิบาน โดย : ไทม์ (Time)
เด็กขายพวงมาลัยที่ซึ่งถูกมองว่าเป็นเด็กที่ไร้ซึ่งโอกาส เป็นเด็กที่ไร้การศึกษา เป็นเด็กที่น่ารำคาญในสายตาของคนใจดำหลายๆ คน แท้จริงแล้วพวกเขาก็เป็นเพียงแค่เด็ก เด็กตัวเล็กๆ เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ทั่วไป เพียงเพราะพวกเขาเกิดมาไม่มีในสิ่งที่คนอื่นๆ มี ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ต้องการในสิ่งที่เด็กคนอื่นๆ ต้องการ ทั้งความรัก การดูแลเอาใจใส่ การอบรมสั่งสอน และการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมให้พวกเขาที่ซึ่งจะเติบโตไปเป็นกำลังของชาติในอนาคตเป็นคนดีและมีคุณภาพ ฉะนั้นเราจึงควรเปิดใจให้กว้าง รับรู้และตระหนักให้ได้ว่าเด็กกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนั้นได้มอบอุทาหรณ์อะไรให้แก่เรา และในเมื่อเด็กๆ เหล่านั้นมอบอุทาหรณ์ให้เราแล้ว เราจะไม่มอบอะไรกลับไปบ้างเชียวหรือ หากว่าเราคิดว่าพวกเขาด้อยโอกาส พวกเขาก็สามารถมีโอกาสได้ ถ้าเพียงเราเริ่มที่จะหยิบยื่นให้.
พวกเรามีความคิดเห็นเป็นอย่างไรบ้างครับ?

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2551

สาสน์จากท่าน Dali Lama ที่ได้กล่าวไว้สำหรับปี 2008

คุณใช้เวลาในการอ่านและคิดตาม เพียง 2-3 นาทีเท่านั้นโปรดอย่าเก็บคำสอนนี้ไว้คนเดียว มิเช่นนั้นมนตราที่ส่งมานี้จะจากคุณไปภายใน 96 ชั่วโมงแล้ว… คุณจะได้พบกับสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ที่คุณจะยินดีมาก

ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต

  1. ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอัน มหาศาลดุจกัน
  2. เมื่อคุณแพ้ อย่าลืมเก็บไว้เป็นบทเรียน
  3. จงปฏิบัติตาม 3Rs
    3.1 เคารพตนเอง (Respect for self)
    3.2 เคารพผู้อื่น (Respect for others)
    3.3 รับผิดชอบต่อการกระทำของตน (Responsibility for all your actions)
  4. จงจำไว้ว่า การที่ไม่ทำตามใจปรารถนาของตนบางครั้งก็ให้โชคอย่างน่ามหัศจรรย์
  5. จงเรียนรู้กฎ เพื่อจะทราบวิธีการฝ่าฝืนอย่างเหมาะสม
  6. จงอย่าปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย มาทำลายมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของคุณ
  7. เมื่อคุณรู้ว่าทำผิด จงอย่ารอช้าที่จะแก้ไข
  8. จงใช้เวลาในการอยู่ลำพังผู้เดียวในแต่ละวัน
  9. จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง แต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป
  10. จงระลึกไว้ว่า บางครั้งความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด
  11. จงดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อที่ว่าเมื่อคุณสูงวัยขึ้นและคิดหวนกลับมาคุณจะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไปได้อีกครั้ง
  12. บรรยากาศอันอบอุ่นในครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต
  13. เมื่อเกิดขัดใจกับคนที่คุณรัก ให้หยุดไว้แค่เรื่องปัจจุบัน อย่าขุดคุ้ยเรื่องในอดีต
  14. จงแบ่งปันความรู้ เพื่อเป็นหนทางก้าวสู่ความเป็นอมตะ
  15. จงสุภาพกับโลกใบนี้
  16. จงหาโอกาสท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณไม่เคยไป อย่างน้อยก็ปีละครั้ง
  17. จำไว้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด คือความรักมิใช่ความใคร่
  18. จงตัดสินความสำเร็จของตนด้วยสิ่งที่ต้องเสียสละ
  19. จงเข้าใกล้ความรักด้วยการปล่อยวาง


ขอให้โชคดีทุกท่าน และโปรดอย่าลืมส่งต่อ ๆ ไปด้วยน่ะคะ

วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2551

Where are you now? From a camel story...









" บ้านเบิร์ด" ที่เชียงฮายจากทาง "อากาศ"_และข้อคิดดีๆ




(บางส่วนของข่าว)

'เบิร์ด' ยึดแนวพระราชดำริ'ทำดินให้เป็นทอง'

อุดมสุข...สวนเกษตร 'เบิร์ด' ธงไชยยึดแนวพระราชดำริ 'ทำดินให้เป็นทอง'

หว่านวันแม่ เก็บเกี่ยววันพ่อ...!!!

...ท่ามกลางพื้นหมอก ที่หนาวจัดกลางทุ่งนา ในอุณหภูมิ 8 องศาเซลเซียส ณ บ้านไร่อุดมสุข ท้องทุ่งบ้านป่าจั่น หมู่ 7 ตำบลเวียงกาหลง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งพากันเอามื้อ (ลงแขก) เกี่ยวข้าว

ต้นข้าวที่อุดมสมบูรณ์ บนผืนนา 17 ไร่ ส่งประกายสีทองเหยียดยาวรอคมเคียว สังเกตง่ายจากเมล็ดที่เต่งตึง รวงโน้มโค้งลงเสมือนกับคนพนมมือยกขึ้นไหว้ ในพื้นที่ส่วนหนึ่งจาก 100 กว่าไร่ของ สวนอุดมสุขที่จำแนกการปลูกพืชไว้หลากหลายชนิด

...ผู้ที่นำและเป็นเจ้าของนาผืนนี้คือ นายธงไชย แมคอินไตย์ หรือที่คนไทยทั้งประเทศ (และใกล้เคียง) รู้จักเขาในนาม 'เบิร์ด' ดาราระดับ Super Star ที่โด่งดังทั้งการเป็นนักร้องและนักแสดง

นาของเรา ข้าวของเรา... เป็นคำพูดที่ย้ำออกมายังกับท่องจำ พร้อมๆกับ ดึงด้ามเคียว ตัดต้นข้าวกำแล้วกำเล่า อย่างมันเขี้ยว ทำอย่างนี้อยู่เป็นนาน จนกระทั่งร่างกาย สลายความเหน็บหนาวไป เจ้าของนาจึงค่อยๆ ถอดเสื้อกันหนาวออก ทีละตัวๆ จนเหลือ แค่เสื้อแขนยาวเพียงตัวเดียว

'...ในอดีตครอบครัวผมยากจนมาก คุณแม่ (นางอุดม แมคอินไตย์) ต้องไปเป็นหนี้ข้าวมาเลี้ยงลูกๆ คือพวกผม 7 ชีวิตพี่ๆน้องๆ ตอนนี้พอมีเงินบ้าง (มากๆด้วย) ผมก็เลยพาครอบครัว มาปลูกข้าวกินเอง ผืนที่ดินแห่งนี้ คุณแม่ผมรักมันมาก...' เป็นคำบอกเล่าของ 'เบิร์ด' ในช่วงพักเหนื่อย แล้วก็บอกต่ออีกว่า...

ผมเรียนรู้จากชาวบ้าน ในการทำนาปลูกข้าว จากนั้นก็ปลูกพืชผักอื่นๆ ปลูกบ้านและขุดบ่อน้ำ (เลี้ยง ปลา แต่ห้ามจับขึ้นมากินมาขาย) แล้วมาเห็น หนังสือเล่มหนึ่งเป็น ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการเกษตรตามแนวพระราชดำริ มีการวาดภาพพื้นที่ที่อยู่อาศัย ขุดบ่อน้ำ ปลูกข้าว ปลูกพืช เป็นการเกษตรพอกินพออยู่ ซึ่งมันตรงกับที่เราทำอยู่ จึงรู้ว่า...'เบิร์ด' เอ๊ย เจ้าเดินมาถูกทางแล้ว พร้อมกับที่ผมมีความคิดว่า เรามีใจ มีสมอง มีปัญญาที่จะมาช่วยพัฒนาตรงนี้ได้

ตอนแรกๆที่ผมเข้ามา หมู่บ้านป่าจั่น เมื่อ 4-5 ปีก่อนนั้น พอสัมผัสกับชาวบ้าน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าพวกเขาบริสุทธิ์มากๆและ ได้รู้ว่าการเป็นเกษตรกรร่ำรวยความสุข มีครอบครัวที่อยู่เย็นเป็นสุข นอกนั้นไม่มีอะไรเลย จะมีเงินก็มาจากการกู้ยืมอันเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่พวกเขาจักต้องรักษาไว้ คือ ต้องรักษา 'หนี้' โดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะใช้หมด... ชาตินี้หรือว่าชาติไหน...!!!

...เพราะเงินมันเป็นอนาคตที่มองไม่เห็น กว่าจะได้มาสุดแสนจะยากลำบาก

ช่วงนั้น หนุ่มๆ-สาวๆอพยพไปทำงานในภาคอุตสาหกรรมที่อื่นหมด คงยังเหลือแต่คนแก่กับเด็กๆเฝ้าบ้าน ผมจึงเข้าไปลุยในหมู่บ้าน บอกกับชาวบ้านว่า...เจ้านายทอดพระเนตรดูเราอยู่นะ ต้องตั้งใจทำงาน อย่าหนีไปไหน ที่นี่เป็นขุมเงินขุมทอง ของพวกเรา ที่ดินเป็นที่ทำกินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อย่าปล่อยรกและอย่าขายทิ้ง

ผม กับ พี่ชาย (ปื๊ด-เกรียงไกร แมคอินไตย์) ทำการเกษตร เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ชาวบ้าน เมื่อหมดฤดูนา ก็มีการปลูกพืชอื่นๆ แล้ว ผมก็หาพริกพันธุ์ดีๆ มาแจกจ่ายให้กับชาวบ้าน ได้ร่วมกันปลูก พอพริกเจริญงอกงามผลผลิตออกมา เขาก็จะนำมาส่งมาให้เรา เราก็จะหาตลาดและส่งขายให้เขา พอเขาได้เงินก็ดีใจมีแรงที่จะทำต่อ

พืชไร่เราก็ทำให้เป็นตัวอย่าง และก็แนะนำ ให้รื้อฟื้นแผ่นดิน ต้นลิ้นจี่ ลำไย เก่าๆแก่ๆ ที่ปล่อยให้รกร้าง จนต้นโทรมแทบจะยืนตายนึ่ง ก็มาตัดแต่งกิ่งทำสาวต้นใหม่ เมื่อผลผลิตออกมาชาวบ้าน อาจจะมึนตื้อไม่รู้จะนำไปขายที่ไหน... ผมก็สนับสนุน ให้มีการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า และสามารถยืดอายุการเก็บรักษาด้วยการ สร้างโรงอบแห้งขึ้นมาบริการแก่ชาวบ้าน พวกเขาก็พอใจ ที่ไม่ต้องขนลำไยสดไปที่อื่น ให้เสียค่าขนส่งโดยใช่เหตุ

เพื่อการพัฒนาในด้านการผลิต ผมแนะนำให้ชาวบ้านได้มีความรู้ในเรื่องดิน และ ได้ติดต่อนักวิชาการมาให้ความรู้ในเรื่องการตรวจสภาพดินว่ามี ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส กำมะถันเท่าไหร่ พืชที่จะปลูกต้องการธาตุอาหารอะไรเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม ให้รู้จักทำปุ๋ย คิดสูตรปุ๋ย ปลูกพืชตระกูลถั่วบำรุงดิน

เมื่อช่วยแก้ ปัญหาในเรื่องการผลิต แล้วที่สำคัญสุดคือเรื่องตลาด ทำอย่างไร จะหลุดพ้นจากการกดขี่ของพ่อค้าคนกลาง อย่างที่ตอนที่ฮือฮาใน สวนอุดมสุข คือ ทำ เห็ดหอม พอผลผลิตออกมาผมก็นำไปขายบ้าง จ่าย แจกไปบ้าง

ด้วยที่ว่าในส่วนที่จ่ายแจกไปนั้น อาจมีผลสะท้อนกลับ เมื่อเขารับประทานเห็ดของเราแล้วชอบ หากติดใจในรสชาติ คราวต่อไปเขาก็จะสั่งซื้อจากเรา...ทีนี้เราก็จะขายได้

การเพาะเลี้ยงเห็ดหอมนี้ อาจารย์ดีพร้อม ไชยวงศ์เกียรติ จะเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแล ลูกน้องเราก็ค่อยๆทำจนเกิดความชำนาญ อย่างในตอนแรกๆ เราก็เพาะเชื้อเห็ดเพียง 16,000 ถุง จะมีส่วนเสียหาย 2,000 ถุง ซึ่งถือว่ามันเสียหายมาก เราก็จะค้นหาสาเหตุว่ามันมาจากอะไร เมื่อรู้แล้วก็จะปรับปรุง อย่างการติดเชื้อ การต้มที่ความร้อนไม่สม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดความเสียหายที่น้อยลง

เมื่อเราเกิดความชำนาญแล้วต่อไปก็เป็น การลดต้นทุนการผลิต อย่างวัตถุดิบในการผลิตคือขี้เลื่อยไม้ยางพาราที่ต้องสั่งซื้อกันที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีราคาแพงมาก คันรถละ 17,000 บาท คาดว่าจะต้องเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันเป็นคันละ 20,000 บาท

ขี้เลื่อยรถบรรทุกคันหนึ่ง ก็ใช้เป็นเชื้อเพาะเห็ดหอมได้ 1 โรงเรือน ไหนจะค่าสารเคมี ค่าดำเนินการจัดการอีก อันเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตทั้งนั้น ก็อยากจะให้ชาวบ้านได้มีความคิด ที่จะใช้วัสดุในท้องถิ่นมาทดแทน ...ซึ่งเราเองก็พอมองหามาได้ แต่อยากจะให้ชาวบ้านเขาได้คิด และ ตัดสินใจกันเองบ้าง ไม่ใช่เป็นผู้ตามแต่อย่างเดียว

สวนอุดมสุข ของเรานี้ได้ทำการเกษตรผสมผสานอย่างจริงจัง และ พยายามที่จะให้เป็นแบบอย่าง แก่ชาวบ้านได้ยึดถือนำไปปฏิบัติด้วยใจ สมอง และ ภูมิปัญญาในการพัฒนาพื้นที่ทำกิน ให้สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนเองและครอบครัวให้อยู่รอดด้วยเศรษฐกิจพอเพียง

โดย ดำเนินตามแนวพระราชดำริ ซึ่งเกษตรกรต้อง ทำให้จริง อยู่ให้เป็น พอมีพอกิน เพราะงานเกษตรกรรมจะสำเร็จได้ต้องใช้เวลา และเกษตรกรต้องมีความ อุตสาหะ รักจริงแล้วก็จะทำได้

เพราะดินเป็นดินของเรา เมื่อทำให้ดินมีหญ้าขึ้นได้ (ดินก็เกิดความอุดมสมบูรณ์) ก็ถือว่าการเกษตรประสบความสำเร็จ

จากนั้น จง...ทำดินให้เป็นทอง ทำหญ้าให้เป็นแบงก์ และก็ทำได้ไม่ยากนัก...แน่นอนที่สุดอยู่ที่ตัวเราเอง...!!!

Face the reality. Please read till the end...

Just want to share another good & worth to read article. Please take a moment and read carefully and you will know yourself much better and YOU will realize that you can be part of the growth and success in all aspects of your life.

One day all the employees reached the office and they saw a big advice on the door on which it was written:

'Yesterday the person who has been hindering your growth in this company passed away.
We invite you to join the funeral in the room that has been prepared in the gym'.

In the beginning, they all got sad for the death of one of their colleagues, but after a while they started getting curious to know who was that man who hindered (อุปสรรค) the growth of his colleagues and the company itself.

The excitement in the gym was such that security agents were ordered to control the crowd within the room.

The more people reached the coffin, the more the excitement heated up.

Everyone thought: 'Who is this guy who was hindering my progress?
Well, at least he died!'.

One by one the thrilled employees got closer to the coffin, and when they looked inside it they suddenly became speechless. They stood nearby the coffin, shocked and in silence, as if someone had touched the deepest part of their soul.

There was a mirror inside the coffin: everyone who looked inside it could see himself.

There was also a sign next to the mirror that said:

'There is only one person who is capable to set limits to your growth: it is YOU.

You are the only person who can revolutionize your life. You are the only person who can influence your happiness, your realization and your success.

You are the only person who can help yourself.

Your life does not change when your boss changes, when your friends change, when your parents change, when your partner changes, when your company changes. Your life changes when YOU change, when you go beyond your limiting beliefs, when you realise that you are the only one responsible for your life.

'The most important relationship you can have, is the one you have with yourself'

Examine yourself, watch yourself. Don't be afraid of difficulties, impossibilities and losses: be a winner, build yourself and your reality.

The world is like a mirror: it gives back to anyone the reflection of the thoughts in which one has strongly believed.

The world and your reality are like mirrors laying in a coffin, which show to any individual the death of his divine capability to imagine and create his happiness and his success.

It's the way YOU face Life that makes the difference