วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Sleepy

คลายเครียดน่ะครับ

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ บทความของ วนิษา เรซ (คุณหนูดี)

อ่านบทความนี้แล้วจะรู้สึกรักตัวเองขึ้นอีกเยอะ หนูดีเขียนได้ดีมากนะ


********************

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

เรื่อง วนิษา เรซ

คัดลอกจาก Post Today

บางครั้งในชีวิตประจำวัน เรารู้สึกว่ามีหน้าที่หลายอย่างที่เรา “ต้อง” ทำ ทั้งๆ ที่ขี้เกียจแสนขี้เกียจ หรือเหนื่อยแสนเหนื่อยแล้วจากการทำงาน เช่น การล้างจาน การท่องหนังสือ การจดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์
แถมพ่อแม่หลายท่านในปัจจุบันนอกจากทำงานเหนื่อยแล้วยังต้องมานั่งรับส่งลูกเรียน พิเศษเสาร์อาทิตย์อีก...เวลานั่งรอบางครั้งก็เหนื่อยจนลืมชื่นใจความเก่งความน่ารักของลูก

สิ่งของเหล่านี้ดูธรรมดาและดูเหมือนเป็น “หน้าที่” ที่เราต้องกระทำ ทั้งๆ ที่บางครั้งทำให้เราหงุดหงิดพอควรเลย...ตัวหนูดีเป็นคนเกลียดการล้างจานมาก เพราะไม่ชอบความเหนอะของคราบอาหารและความสากมือหลังจากล้างจานเสร็จ ถึงขนาดมีกฎประจำใจเลยว่าผู้ชายคนไหนจะมาขอหนูดีแต่งงาน หนูดีจะให้ล้างจานให้ดูก่อน...แถมอาจมีการเซ็นสัญญากันว่า หนูดียินดีทำอาหารทุกชนิดแต่ฝ่ายชายต้องรับอาสาเป็นผู้ล้างจาน...จนกระทั่งวันหนึ่งหนูดีได้ไปปฏิบัติธรรมในวิถีเซน การไปอยู่วัดครั้งนั้น ทุกคนต้องล้างจานเอง...พระสอนว่า เวลาล้างจานเราต้องการอะไรจากการล้างจาน...คำตอบของพวกหนูดี คือ เราต้องการให้จานสะอาด (แหม ถามอะไรตอบง่ายอย่างนี้ ก็มันชัดเจนอยู่แล้วใช่ไหมคะ)...แต่ท่านบอกว่า ตอบผิดค่ะ ...อ้าว ถ้าไม่อยากให้จานสะอาดแล้วจะล้างไปทำไมคะ หนูดีงงมาก...ท่านตอบว่า จากนี้ไป ขอให้ล้างจานเพื่อล้างจานได้ไหม...

ทำไมต้อง “ล้างจานเพื่อล้างจาน” กว่าหนูดีจะเข้าใจและทำได้ก็ผ่านไปจากนั้นนานแสนนาน และทุกวันนี้หนูดีก็ยังฝึกเป็นประจำ...เคล็ดอยู่ตรงนี้เองค่ะ หากเราล้างจานเพื่อต้องการให้จานสะอาด ก็เหมือนกับเราโยนทิ้งปัจจุบันแล้วรอให้ความสุขเกิดขึ้นในอนาคต แต่ปัจจุบันคือความทุกข์ที่ต้องอยู่กับจานสกปรก เราจะมีความสุขก็ต่อเมื่อจานสะอาดแล้วเท่านั้น ...สรุปว่าใช้ชีวิตแค่กับเป้าหมาย รอให้เป้าหมายเป็นผลแล้วค่อยยอมปล่อยใจให้เป็นสุข แต่หากเราเปลี่ยนมาเป็นทำใจให้สุขในขณะล้างจาน จิตจดจ่ออยู่กับน้ำ ฟองน้ำและจาน...เป็นสุขอยู่ตรงนั้น ซึ่งหลังจากครั้งแรก พระท่านก็สอนที่สูงขึ้นไปอีกว่า จินตนาการดูสิว่าจานเป็นพระพุทธรูปและเรากำลังชำระล้างท่านให้สะอาดอยู่...น่ารักมากเลยค่ะ ไม่เห็นต้องรอวันสงกรานต์แล้วค่อยสรงน้ำพระ ถ้าคิดอย่างนี้ได้ ความสุขเล็กๆ ก็เกิดขึ้นได้ตลอดวัน

ในการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุข...หนูดีคิดว่า เราต้องแยกให้ออกระหว่างวิถีและเป้าหมายก่อน ...คนส่วนใหญ่มักเอาความสุขไปผูกไว้กับ “เป้าหมาย” แต่หลงลืมว่า เวลาเกือบทั้งหมดในชีวิตอยู่ที่ “วิถี” ในการไปถึงเป้าหมายนั้น เหมือนเมื่อก่อนหนูดีตั้งเป้าไว้ว่า จะเรียนให้ได้คะแนนดีๆ ให้ได้เกียรตินิยม...และระหว่างภาคเรียนจะต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหนหนูดีไม่มีหวั่นเพราะเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก...พอสอบเสร็จโล่งอกสบายใจ ได้เกรดดีๆ ก็ดีใจอยู่แผล็บเดียวเดี๋ยวก็เปิดเทอมอีกแล้ว...จะเป็นจะตายต่อไปอีกเทอม...พอมาดูจริงๆแล้วเรียนปริญญาตรีเราจะได้เห็นเกรดตัวเองหลักๆ ก็ 8 ครั้ง โอ้โห เวลา 4 ปี จะยอมให้ตัวเองมีความสุขใหญ่ๆ แค่ 8 ครั้ง ก็ดูเป็นชีวิตที่เศร้าสร้อยไปหน่อยนะคะ

ดังนั้น การกลับมาปรับ “วิถี” ให้เรามีสุขขึ้นในระหว่างทางกลับทำให้ดัชนีความสุขมวลรวมของชีวิตเราพุ่งสูงขึ้นอีกมาก เมื่อหารเฉลี่ยแล้วทั้งชีวิตเราน่าจะมีความสุขขึ้นอีกมากนะคะ ...เดี๋ยวนี้หนูดีเลยมีกฎในการใช้ชีวิตว่า “วิถีคือเป้าหมาย” พูดง่ายๆ ว่า การทำใจให้สุขเป็นประจำวัน มีสุขในวิถี นั่นแหละคือเป้าหมายของหนูดี ส่วนเป้าหมายใหญ่ๆ ภายนอกก็ยังมีอยู่ค่ะ ไม่ได้ทิ้งหายไปไหน หนูดียังคงวางแผนชีวิตและมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่เช่นเดิม...อาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะเป้าหมายเหล่านั้นไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะตัวหนูดีคนเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่ยังรวมคนอื่นๆ ในสังคมเข้ามาอีกด้วย และหนูดีไม่รอให้“เป้าหมายสำเร็จ” แล้วค่อยเป็นสุข...ไม่มีกฎอะไรกำหนดนี่คะว่าต้องรอ ก็เลยขอเป็นสุขเรื่อยๆ ดีกว่า

ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ดีมาก...หนูดีเอามาเขียนเตือนใจตัวเองหน้าหนังสือ “ขอบคุณสรรพสิ่ง” ที่เขียนก่อนนอนเลยค่ะว่า “ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์คือการเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว” หนูดีเห็นด้วยอย่างมาก เพราะชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง “ธรรมดา”เช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ ตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิมๆ ใส่ชุดธรรมดาๆ...หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ...ใช่ค่ะ เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น แต่ถ้าความ “ธรรมดา” นี้หมดไปล่ะคะ เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือด
ขาว หรือสามีเราถูกรถชนตาย หรือเราถูกไล่ออกจากงานที่เราเบื่อแสนเบื่อ...เรื่องก็จะ “ไม่ธรรมดา” ไปในทันที และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมาคิดเสียดายความ “ธรรมดา” จนใจแทบจะขาด...หนูดีไม่ได้พูดเองเออเองนะคะ

แต่เพราะหนูดีอยู่ในอาชีพที่ได้เห็นความพลัดพรากสูญเสียในครอบครัวมาเยอะมาก จนเกิดเป็นกฎประจำใจเลยว่า ให้เรารีบชื่นชมกับความ “ธรรมดา” ที่เรามีและใช้ชีวิตประหนึ่งว่า สิ่งนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือ สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้วค่ะ วันนี้ หนูดีขอชวนแฟนๆ คอลัมน์ลองมองหาสิ่งธรรมดาๆ สักสองสามสิ่งที่เรามองข้ามไปแล้วลองคิดขอบคุณเขาไหมคะ เช่น วันนี้เราไม่ปวดฟันเลย ขอบคุณฟันที่อยู่อย่างปกติหรือวันนี้ลูกของเรายังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เรามีความสุขจัง หรือแม้แต่วันนี้รถของเรายังไม่ถูกชน โชคดีจังเลย...เรื่องสุดท้ายนี่หนูดีคิดเป็นประจำเลยค่ะ เพราะในโลกนี้ หนูดีเป็นหนึ่งในคนที่รถชอบโดนชนประจำขนาดขับช้าเหมือนเต่าคลาน ดังนั้น หากวันไหนรถหนูดีอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แค่ได้มองเห็น ก็เป็นสุขแล้วค่ะ ...สุขสันต์วันธรรมดาๆ อีกวันหนึ่งนะคะ ขอให้ทำงานอย่างเป็นสุขค่ะ

วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

มนต์เสน่ห์แห่งเพชร

ตำนานแห่งเพชร...เรื่องราวของมนุษยชาติที่น่าหลงใหล
ประกายระยิบระยับของเพชรดึงดูดความสนใจของมนุษย์มานานทุกยุคทุกสมัย ด้วยความงามอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นความหามนต์เสน่ห์และความลี้ลับ, หรูหรา, ความรัก และความงามโดดเด่น จึงทำให้เพชรถูกขนานนามว่าเป็นราชินีแห่งอัญมณี


ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเพชร

กว่าล้านปีก่อนจะก่อกำเนิดเกิดมา ค้นหาความอมตะของเพชร


ขอต้อนรับสู่ศูนย์ข่าวสารเพชร ณ ที่นี่ คุณสามารถค้นหาข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ

ความงามอันบริสุทธิ์ที่ก่อกำเนิดจากธรรมชาติ...เพชร

อัญมณีอันสวยงามที่บ่งบอกถึงความรักอันยิ่งใหญ่

เพชร...เลอค่าอมตะ
การค้นหาและเลือกซื้อเพชรในฝันเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและประทับใจ เพราะเพชรคือสุดยอดอัญมณีอันทรงคุณค่า ที่ก่อกำเนิดจากความงามอันบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
ดังนั้นการเริ่มต้นด้วยการศึกษาและเข้าใจคุณลักษณะสำคัญทั้งสี่ของเพชรจึงเป็นสิ่งสำคัญ

หลักการ 4C’s ของเพชร
ทำความเข้าใจเรื่องราคา
หลักพื้นฐานของคุณสมบัติสี่ประการของเพชร

ความเข้าใจผิดเรื่องฮวงจุ้ย

สารพัดความเชื่อที่ไม่ถูกต้องที่ปะปนอยู่ในวิชาฮวงจุ้ย

หลังจากที่อาจารย์มาศได้หันมาทุ่มเทศึกษาวิชาฮวงจุ้ยอย่างเอาจริงเอาจังกว่า26ปี
โดยเดินทางไปเรียนกับปรมาจารย์ทางฮวงจุ้ยระดับโลกอีกหลายท่าน
จนสามารถ
ทำความเข้าใจถึงได้อย่างลึกซึ้งและพบว่าแท้ที่จริงแล้ว
วิชาฮวงจุ้ยนั้นมีหลักการที่
เป็นวิทยาศาสตร์และมีเหตุผลในเชิงตรรกวิทยารองรับ
ไม่ใช่เรื่องของความเชื่อ
ในทางไสยศาสตร์อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจกันดังเช่น


1.เสือคาบดาบแก้ทางสามแพร่งได้หรือไม่

อันที่จริงแล้ว...เสือคาบดาบไม่ใช่อุปกรณ์ในวิชาฮวงจุ้ยแต่เพิ่งริเริ่มนำมาใช้กัน
ไม่เกิน
40–50ปีนี้เองโดยซินแสที่ไม่ได้เข้าใจหลักวิชาฮวงจุ้ยอย่างถ่องแท้ เช่น
แก้ไขปัญหาเหตุร้ายของบ้านที่อยู่ทางสามแพร่งไม่ตกคิดว่าเป็นทางผ่าน
ของวิญญาณ
จึงนำความเชื่อทางไสยศาสตร์ว่าเสื้อเป็นสัตว์ดุร้าย

หากนำหน้าเสือมาติดจะช่วยไล่วิญญาณร้ายได้ก็ไม่ก็ใช้ภาพโป็ยข่วยมาติดแทน
แท้จริงแล้วทางสามแพร่งไม่ได้ร้ายเสมอไปเป็นเพียงถนนที่พุ่งตรงเข้ามาทำให้
ลมพัดเข้าบ้านแรงกว่าปกติ
ซึ่งถ้าเข้ามาทำมุมกับบ้านในองศาที่ไม่ดีก็จะทำให้
้เกิดเรื่องวิบัติขึ้นกับคนในบ้านในปีนั้นโดยการแก้ไขที่ถูกต้อง
จะต้องคำนวณ
พลังชี่ว่าเป็นธาตุใด ก็ให้นำวัตถุธาตุนั้นมาแก้ไข เช่น
หากเป็นพลังชนิดที่ 5
(ธาตุดินอมไฟ) อาจใช้ กระดิ่งโลหะธาตุทองแขวนในทิศนี้สลายพลัง หรือ
ถ้าเป็นพลังธาตุน้ำเข้ามา
ก็อาจต้องใช้สีเขียวทาแก้ไข

หากทิศนั้นชอบกระแสเคลื่อนไหวของพลังงานการพบทางสามแพร่งพุ่ง
ใส่อาคาร
กลับจะนำความรุ่งเรืองมาให้อีกหลายเท่าตัว

2.การตั้งเจ้าที่(ตี่จู๋เอี๊ย)จำเป็นหรือไม่

เจ้าที่ไม่ได้มีผลต่อความเจริญรุ่งเรืองของผู้อยู่อาศัยและไม่ไช่เรื่องของวิชา
ฮวงจุ้ยโดยตรง
แต่เหตุผลที่ซินแสในอดีตแนะนำให้ลูกค้าตั้งเจ้านั้นเป็นสิ่งที่มี
ภูมิปัญญาอันแยบยลซ่อนอยู่เบื้องหลัง
เนื่องจากคนที่ค้าขายส่วนใหญ่ก็มัก
คิดแต่จะเอาเปรียบลูกค้า
หากซินแสจะสอนเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตลูกค้า
ฟังตอนเช้าพอบ่ายก็ลืมหมด
จึงได้แนะนำให้ตั้งตี่จู๋เอี๊ยโดยบอกว่าให้ตั้งใจ
ค้าขายอย่าโกงลูกค้า
เมื่อวันตรุษจีนเจ้าที่ก็จะขึ้นไปรายงานกับเง็กเซียนฮ่องเต้
ประทานรางวัลให้
หากเอาเปรียบลูกค้าก็จะถูกลงโทษทุกครั้งที่ลูกค้าหันไปเห็น
เจ้าที่ตั้งอยู่
ก็จะคิดถึงคำสอนขึ้นมาได้ไม่คิดคดเอาเปรียบใครซึ่งถ้าตั้งใจค้าขาย
บริการลูกค้าด้วยความจริงใจซื่อสัตย์สุจริตลูกค้ามีความประทับใจ
ก็แนะนำคน
มาใช้บริการเพิ่มขึ้นธุรกิจการค้าก็จะค่อยๆมีความเจริญก้าวหน้าขึ้นมาได้
ลอง
คิดความเป็นจริง
ฝรั่งต่างชาติไม่เคยตั้งเจ้าที่ในบ้านทำไมจึงมีความเจริญรุ่งเรือง
ขึ้นมาได้
ในขณะที่บ้านเราตั้งเจ้าที่ทุกบ้านถึงช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำไม่เห็น
มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนมาช่วยเตือนท่านให้รอดพ้นวิกฤติได้

แต่ถ้าเจอเจ้าของบ้านเป็นคนจีนรุ่นเก่าที่เชื่ออย่างฝังหัวผมก็จะแนะนำให้
้ตั้งตี่จู๋เอี๊ยในจุดที่ต้องการพลังธาตุไฟเพราะเป็นสีแดงแถมจุดไปบ่อยๆก็
สามารถกระตุ้นพลังได้


3.ตั้งฮกลกซิ่วแล้วจะทำให้รวยจริงหรือไม่

ในสมัยโบราณมีคนจีน 3 คน ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างสูงส่ง 3 ด้าน
โดยคนที่หนึ่งร่ำรวยเหมือนทักษิณเพราะตั้งใจทำมาหากินด้วยความเฉลียว
ฉลาด
ละเอียดรอบคอบซื่อสัตย์ต่อลูกค้าทำให้เจริญรุ่งเรืองเหนือธรรมดา
ส่วนคนที่สองตั้งใจรับใช้บ้านเมืองและประชาชนจนได้รับการปูนบำเหน็จ
แต่งตั้งเป็นมหาอำมาตใหญ่เปี่ยมด้วยอำนาจวาสนา
ส่วนคนสุดท้ายรู้จัก
ดูแลสุขภาพจิตสุขภาพกายจนมีอายุยืนกว่าคนทั่วไป
แถมมีลูกเต็มบ้าน
หลานเต็มเมือง

คนจีนจึงได้คิดปั้นรูปท่านทั้ง3ข้ึ้นมาเพื่อใช้เป็นตัวแทนความสำเร็จในชีวิต
ทั้ง
3ด้านเพื่อไว้เตือนใจตนให้ตั้งใจบริหารชีวิตของตัวเองทั้ง3ด้านให้ดี
คื
อต้องตั้งใจทำงานให้เจริญรุ่งเรืองหลังจากมีแล้วก็ต้องไม่ลืมที่จะช่วย
เหลือสังคม
และสุดท้ายก็ต้องหมั่นดูแลให้มีสุขภาพดีอารมณ์แจ่มใส

ไม่ใช่มัวแต่บ้างานหรือหาเงินอย่างเดียวเท่านั้นคือเรียกว่ามีทั้งฮกลกซิ่วนั่นเอง
ไม่ใช่ว่าตั้งตุ๊กตาฮกลกซิ่วอย่างเดียวแล้วจะรวยได
ไม่อย่างนั้นร้านที่ขายฮกลกซิ่ว
ซึ่งมีเป็นร้อยๆองค์
คงได้รวยใหญ่จนล้ำหน้าบิลเกตต์ไปแล้ว!

4.ที่ดินหน้าแคบหลังกว้างเป็นรูปถุงเงินฮวงจุ้ยดีจะเก็บเงินอยู่

เรื่องนี้เป็นเรื่องกฎระเบียบของประเทศจีนในอดีตที่เขาจัดเก็บภาษีตามหน้ากว้าง
ของที่ดิ
บ้านไหนที่ดินหน้าแคบก็จะเสียภาษีน้อยจึงมีเงินเหลือเก็บส่วนปัจจุบันที่หน้าแคบๆ
คนไม่ชอบ ขายไม่ได้ราคา
คนขายจึงพยายามยกกฎเกณฑ์ฮวงจุ้ยเรื่องนี้มา
อ้างเพื่อช่วยให้ขายได้ง่ายขึ้น


5.ห้องน้ำอยู่กลางบ้านหรืออยู่ในห้องนอนทำให้ฮวงจุ้ยเสีย

ถ้าใครเคยไปเมืองจีนคงพอทราบว่าห้องน้ำในสมัยก่อนนั้นเหม็นและสกปรก
ขนาดไหน
เต็มไปด้วยเชี้อโรคและกลิ่นอันชื้นหากอยู่กลางบ้านไม่มีแสงแดดมา
ช่วยฆ่าเชื้อโรคบ้างคนที่อยู่คงเสียสุขภาพ
แต่ห้องน้ำในปัจจุบันมีสุขอนามัยดี
กว่าในอดีตมาก
ห้องน้ำจะตั้งที่ใดก็ไม่ส่งผลร้ายต่อผู้พักอาศัยของเพียงแต่ทิศ
นั้นพลังไม่ขัดกับธาตุน้ำเท่านั้น


6.เลขที่บ้านและทะเบียนรถยนต์มีผลกับชีวิตหรือไม่

ตัวเลขเป้นสิ่งที่มนุษย์สมมุติขึ้นมาไม่ได้เกี่ยวกับพลังธรรมชาติแต่อย่างใด
จึงไม่ได้ส่งผลบวกหรือลบต่อคนโดยตรง
แต่ละชาติก็มีคตินิยมความชอบตัวเลข
แตกต่างกันเป็นคนไทยไม่ชอบเลข
6 เพราะฟังดูเหมือนหกหมดเสียหาย
ส่วนคนจีนบอกว่าเสียงเหมือน ฮก ลก ซิ่ว เป็นมงคลมาก
แล้วจะเชื่อใครดี
เหมือนเรื่องชื่อต้นไม้
เวลาที่คนขายคิดจะส่งเสริมให้ต้นไม้ขายดีก็จะเปลี่ยน
ชื่อต้นไม้จากชื่อที่ชาวบ้านเรียก
มาเป็นชื่อที่หรูหราเป็นมงคล อย่างเช่น
เพชรร้อยล้าน ว่านมหาเศรษฐี ฯลฯ ไม่ทราบว่า
หลังจากซื้อมาปลูกแล้ว
ใครรวยระหว่างคนซื้อกับคนขาย


7.ไม้บรรทัดที่แสดงระยะมงคลจริงหรือไม่

เรื่องระยะมงคลนี้มาจากตำราหลู่ปังซึ่งเป็นช่างไม้ในวังหลวงแต่มีข้อ
น่าสงสัยคือในตำราเล่มนี้กลับมีคำศัพท์บางตัว
ที่เป็นคำของยุคหลังจาก
หลู่ปังเกือบพันปี
เหมือนบอกว่าในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง
มีคำว่าโลกาภิวัฒน์
อย่างไรอย่างนั้นแท้จริงแล้วน่าจะเป็นกลยุทธ์ของ
ช่างไม้ในการยกระดับภาพพจน์จากการเป็นแค่คนงานก่อสร้างมาเทียบ
เท่าซินแสฮวงจุ้ยเสียมากกว่า
คือถ้าช่างคนไหนมีวิชาดีเจ้าของบ้านก็
็เกรงใจบริการดี และเรียกร้องค่าตัวได้มาก
เป็นเทคนิคทางมาร์เก็ตติ้ง
ดีๆ นี่เอง
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของฮวงจุ้ยแต่ประการใด

เพราะฮวงจุ้ยเป็นเรื่องวิชาการบริหารพลังธรรมชาติให้มาเสริมพลัง
ของคนเช่น
ถ้าจุดนั้นของบ้านเป็นทิศที่พลังดีก็ควรเปิดให้กว้างที่สุด
เพื่อให้พลังเข้าได้สะดวก

ไม่ใช่ต้องระยะเท่านั้นจึงจะดีหรือคุณคงเคยเห็นโต๊ะเก้าอี้ที่ออกแบบ
ตามหลักไม้บรรทัดมงคลที่บางสำนักทำขาย
จะพบว่าขนาดจะสูงกว่า
ปกติจนนั่งไม่สบายถ้าต้องใช้ทุกวันจะนั่งคิดงานที่ดีออกมาสร้าง
ความสำเร็จได้อย่างไร


8.ต้องมีธรณีประตูเพื่อดักโชคลาภหรือไม่

ไม่จำเป็นและไม่ใช่หลักฮวงจุ้ยโดยตรงแต่เหตุผลที่บ้านส่วนมาก
ที่เมืองจีนในอดีตต้องมีธรณีประตู
เพราะเวลาสร้างบ้านไม่ได้มีการ
ถมที่(ซึ่งก็ต้องเห็นใจ
สมัยก่อนไม่มีรถแทรกเตอร์ขุดดินมาถมและ
บดอัดดิน)เวลาที่ฝนตกหนักน้ำจะท่วมเข้าบ้าน
จึงต้องสร้างธรณี
ประตูขึ้นมากันไม่ให้น้ำไหลเข้าบ้าน
แต่ถามว่าถูกหลักฮวงจุ้ยหรือ
ไม่ตอบให้ได้เลยว่า
ถ้าองศาทิศทางนั้นเป็นพลังที่ดีแล้วกำลัง
เข้ามาทางด้านหน้าบ้าน
แต่กลับไปสร้างอะไรมาปิดกั้นก็จะทำให้
พลังดีไม่สามารถเข้าได้สะดวก
พลอยทำให้โชคลาภและโอกาส
ทางธุรกิจสูญเสียไปแต่ถ้าทิศนั้นคำนวณพบว่าเป็นพลังร้าย
การ
มีธรณีประตูมากั้นพลังถือว่าเป็นอุปกรณ์แก้ฮวงจุ้ยที่มีประสิทธิภาพ


(ส่วนจะคำนวณอย่างไรว่า ทิศไหนดีหรือร้าย ให้ดูในบทที่เกี่ยวกับ
การคำนวณพลังของสำนักที่เกี่ยวกับทิศทาง)

9.การตั้งสิงโตหินหรือสำริดจะช่วยแก้ฮวงจุ้ยได้อย่างไร

ในสมัยโบราณซินแสแนะนำให้ใช้สิ่งโตหินหรือโลหะตั้งเพื่อแก้ไข
กรณีที่บ้านอยู่ตรงทางสามแพร่ง
ช่องลมหรือมุมแหลมตึกเพราะสิ่ง
เหล่านี้จะเป็นตัวเร่งกระแสลมให้พัดนำเอาพลังเข้ามามากขึ้น
ซึ่งถ้า
ปีใดเป็นพลังร้ายก็จะส่งผลร้ายต่อผู้อยู่อาศัยอย่างรุนแรง
จึงต้องหา
วัตถุที่ใหญ่ๆหนักๆมาตั้งขวางกระแสพลังไว้(สิงโตหินสมัยก่อนสูงใหญ่
่จริงๆ)แต่แนะนำให้เจ้าของบ้าน
หาเป็นรูปสิงโตเพราะตั้งแล้วดูสง่าดี
เหมือนของตกแต่งที่ดูเข้ากับแบบบ้านแนวจีนในสมัยนั้น
แต่ซินแสรุ่นหลัง
ไม่ได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงไปคิดเอาว่าสิงโตเป็นสัตว์วิเศษ
สามารถแก้พลังร้ายได้จึงเอามาใช้เป็นอุปกรณ์แก้ฮวงจุ้ย
โดยไปทำย่อลง
เป็นขนาดเล็กๆจุ๋มจิ๋มน่ารักเอาไปติดกันทั่วบ้านทั่วเมืองซึ่งเป็นสิ่ง
ที่ไม่มีประโยชน์อะไร


หมายเหตุ

การตั้งที่ถูกหลักจะต้องคำนวณกระแสที่พุ่งมาว่าเป็นพลังดีหรือ
ร้ายหากสามแพร่ง
หรือช่องลมนั้นเป็นพลังที่ดีก็ไม่ควรเอาอะไร
ไปตั้งขวาง
เพราะทิศสามแพร่งที่ดีนั้นอยู่แล้วจะเจริญรุ่งเรืองอย่าง
ผิดหูผิดตา
แบบพลิกชีวิตเลยทีเดียวแต่ถ้าเป็นพลังร้ายจึงควรที่จะ
หาอะไรมาปิดหรือขวางกระแสไว้
รวมทั้งต้องรู้ว่ากระแสที่พุ่งมานั้น
เป็นธาตุอะไรถ้าเป็นธาตุไฟ(เช่นพลังชนิดที่
9หรือทิศใต้)ก็ควร
ที่จะตั้งสิงโตหินซึ่งเป็นธาตุดินเพื่อถ่ายเทพลังไฟ
หากพลังร้ายเป็น
ธาตุดินก็ต้องเลือกสิงโตที่เป็นโลหะ
เพื่อถ่ายเทพลังดินออก
จะได้ไม่เหลือพลังร้ายมาสู่คนเหมือนอย่างความเชื่อผิดๆ
ของสำนักงาน
ใหญ่ธนาคารบางแห่งที่เดิมตั้งสิงโตโลหะตัวใหญ่
แล้วเปลี่ยนมา
เป็นช้างโลหะแทนในภายหลัง เพราะเหตุผลว่าสิงโตดุไล่ลูกค้า
หมด
ส่วนช้างเป็นสัตว์ใหญ่ใจดี รับแขก ซึ่งเป็นความเข้าใจ
ฮวงจุ้ยที่ผิดเพี้ยนไปจากหลักวิชามาก ที่จริงแล้ว
ทิศทางนั้น
พลังโชคลาภ และบารมี เป็นธาตุทอง แต่พลังบารมี ชอบสภาพ
นิ่งๆ
กลับมาเจอประตูซึ่งเคลื่อนไหว จึงควรตั้งวัตถุใหญ่ๆ
หนักข้างประตูมาเสริมธาตุทอง
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรูปอะไร
ความจริงก็ไม่สำคัญ! แต่พลังโชคลาภจะหมดปี พ.ศ.
2547
กลับมาเปลี่ยนเอาช้างโลหะมาตั้ง ช่วงที่พลังจะหมดยุคพอดี
จึงไม่มีประโยชน์อันใดจากการเสียสตางค์หลายล้านในครั้งนี้

10.ติดรูปภูเขาที่หลังที่ทำงานจะทำให้มีบารมีจริงหรือ

รูปภาพก็คือกระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้นเราจะพิมพ์หมึกสีอะไร
ใส่เข้าไปก็เหมือนเดิม
คนที่เข้าใจฮวงจุ้ยที่แท้จริงเอาจะอ่าน
เป็นแค่กระดาษกับเป็นสีของธาตุอะไร
ไม่ได้ดูความหมายเชิง
สัญลักษณ์ว่า
ภูเขาหมายถึงความมั่นคงหรือ รูปปั้นมังกร
คือ
ความสูงศักดิ์ ตั้งแล้วจะยิ่งใหญ่มั่งคั่งเวลาที่ซินแสมอง
มังกรตัวนั้น
ก็แค่พิจารณาว่าทำจากวัสดุอะไรหากหล่อจาก
ทองเหลืองก็ดูเป็นแค่ธาตุทองชนิดหนึ่ง
ไม่ต่างจากถัง
แสตนเลสหนึ่งใบ
แต่ถ้าติดรูปภูเขาแล้วทำให้ความรู้สึกของ
คุณดีขึ้นก็ติดต่อไปได้ครับ
นึกดูง่ายๆเหมือนกับถ้าเรา
ติดรูปดอกไม้แล้วจะมีผึ้งหรือผีเสื้อสักตัวเข้ามาตอมหรือไม่


ถ้าสนใจจะอ่านมากกว่านี้ี้ี้ติดตามได้ในหนังสือฮวงจุ้ยชั้นสูง
เชิงวิทยาศาสตร์เล่ม
1เขียนโดยอ.มาศซึ่งอธิบายหลักการของ
ฮวงจุ้ยในมุมใหม่ที่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงในแบบที่
ี่ไม่เคยมีมาก่อนในหนังสือทุกเล่มในท้องตลาด
- ไม่มีวางจำหน่ายภายนอก

กดข้างล่างนี้เพื่อไปดูรายละเอียดของหนังสือทั้งหมดที่เขียนโดย อ.มาศ

หนังสือของ อ.มาศ

ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก สถาบันค้นคว้าวิชาการฮวงจุ้ยแห่งประเทศ ไทยwww.100fs.com

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

เที่ยววัดเก่าอยุธยา





ถ้าหากเพื่อน ๆ จะมาเยือนอยุธยา มีโบราณสถานที่น่าสนใจที่น่ามาเยี่ยมชมแห่งหนึ่ง คือ "วัดมเหยงคณ์" ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่มีมาก่อนการตั้งกรุงศรีอยุธยา น่าจะมีอายุมากกว่า ๕๐๐ ปี จนกระทั่งถูกทหารพม่าเผาทำลายอย่างย่อยยับเมื่อเสียกรุงฯ ครั้งที่ ๒



ชื่อของวัดมเหยงคณ์นี้ อาจฟังดูแปลกหูนะคะ หรืออ่านออกเสียงยากสำหรับบางคน ชื่อของวัดอ่านว่า มะ-เห-ยง มิใช่อย่างที่บางคนอ่านว่า มะ-เหยง คำว่ามเหยงคณ์ มาจากคำในภาษาบาลีว่า มหิยงฺคณ (อ่านว่า มะ-หิ-ยัง-คะ-นะ) ซึ่งแปลว่า ภูเขา หรือ เนินดิน ชื่อของวัดแห่งนี้จึงอาจมีที่มาจากการตั้งอยู่บนเนินดินสูงก็เป็นได้






ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่าวัดนี้สร้างขึ้นเมื่อใด แต่นักวิชาการสันนิษฐานว่าเป็นวัดที่สร้างขึ้นในยุคก่อนการตั้งกรุงศรีอยุธยาหรือสมัยอโยธยา บ้างก็ว่าสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จเจ้าสามพระยาแห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ.๑๖๙๗ -๑๙๙๑) มีการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ (พ.ศ. ๒๒๕๒-๒๒๗๕) กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ เมื่อวันที่ ๑๑ ม.ค. ๒๔๘๔ และได้รับการขุดแต่งเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๑
โบสถ์ของวัดมเหยงคณ์ถือได้ว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในอยุธยา ตั้งอยู่บนฐานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่โค้งคล้ายตกท้องช้างอันเป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลาย ทางด้านหน้าและด้านหลังของโบสถ์มีฐานสูงยื่นออกมา นักโบราณคดีได้สันนิษฐานว่าฐานทั้งหมดน่าจะเป็นการต่อเติมบนฐานรากเดิมในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ภายในโบสถ์มีฐานชุกชีประดิษฐานบางส่วนของพระพุทธรูปหินทรายโบราณ ส่วนของหลังคาโบสถ์นั้นได้หักพังลงมาหมดแล้ว
จี๊ดพาคุณแม่มาเที่ยวอยุธยาบ่ายแก่ ๆ แล้ว รูปนี้ถ่ายในอุโบสถของวัดฯ ซึ่งหลังคาน่าจะสร้างด้วยไม้แต่ได้ถูกเผาไปจนเหลือแต่เสา พระประธานถูกทำลายเหลือแต่ฐานฯ ดูขนาดแล้วน่าจะเป็นอุโบสถที่ใหญ่ทีเดียว




ส่วนรูปด้านล่างแสดงให้เห็นความโหดร้ายของทหารพม่า ไม่ใช่มาทำสงครามกับกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น แต่ได้ทำลายและปล้นสะดมนำทรัพย์สินและของมีค่าขนกลับไปด้วย นี่คือหลักฐานชิ้นหนึ่งในหลายชิ้น จะเห็นได้ว่าก้อนหินที่อยู่หลังจี๊ดและแม่คือยอดปลายสุดของเจดีย์ในวัดมเหยงคณ์ที่ถูกทหารพม่าสุมไฟเผ่าจดยอดหักตกลงมาที่พื้น และน่าจะนำทองคำที่ปลายยอดของเจดีย์นี้ไป ไม่ใช่เจดีย์วัดนี้เท่านั้น ในวัดกุฎีดาวซึ่งอยู่ฝี่งตรงข้ามก็มีลักษณะยอดหักกลางลงมากองอยู่กับพื้นเหมือนกัน






การเดินทาง มาวัดมเหยงคณ์ หากมาจากถนนสายเอเชีย เมื่อเลี้ยวเข้าตัวเมืองอยุธยาไปตาม ถนนโรจนะ จะพบสี่แยกวงเวียนเจดีย์วัดสามปลื้ม ให้เลี้ยวขวาไปตามถนนสาย ๓๐๕๘ ราว ๑ กม. เลยปางช้างอโยธยาไปเล็กน้อยจะเห็นป้ายบอกทางเข้าวัดมเหยงคณ์อยู่ทางขวามือเยื้องกับวัดสมณโกฏฐาราม และวัดกุฎีดาว


แล้วเพื่อน ๆ ละคะ เคยไปเที่ยวอยุธยา ไปเที่ยววัดไหนกันบ้าง